เยลลี่กัญชา น่าตาน่ากินแต่ฤทธิ์ร้ายแรง

เยลลี่กัญชา

         เยลลี่กัญชา จากกรณีที่มีข่าวว่ามีนักศึกษางานออกมาโพสต์ระบุว่าตัวเองและรุ่นพี่ที่ทำงานได้ไปทานอาหารที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งแล้วไปเจอกับดาราชาย จึงมีการนั่งทานข่าวร่วมกันแล้วดาราชายก็ยื่นเยลลี่ให้กิน บอกว่ามาจากต่างประเทศ แต่หลังจากทานเยลลี่เข้าไปแล้วนั้น นักศึกษาฝึกงานมีอาการใจสั่น หายใจไม่ออก มีเหงื่อออกมาก จนต้องส่งโรงพยาบาล และพบว่าได้กินเยลลี่ผสมกัญชาเข้าไป 

          จากข่าวนี้มีหลายคนสงสัยว่า ตัวเยลลี่กัญชามีจริงหรือเปล่า แล้วในไทยนำเข้ามากินได้ด้วยเหรอ แล้วถ้ากินมันจะอร่อยเหมือนเยลลี่ธรรมดาหรือเปล่า   แล้วเมื่อกินเข้าไปแล้ว อาการเป็นอย่างไร อันตรายมากไหม วันนี้เรามาหาคำตอบเหล่านี้กันค่ะ 

            ตามที่ได้ติดตามข่าวจากสำนักข่าวต่างๆ ตอนนี้มีการเตือนมาจากคุณหมอหลายท่าน หรือแม้แต่กรมการแพทย์เองว่า  เยลลี่กัญชา เป็นสิ่งผิดกฎหมายของไทย และยังไม่มีการับรองจากองค์การอนามัยอาหารและยา ถึงแม้ว่าปัจจุบันประเทศไทยจะมีการอนุมัติให้สามารถนำกัญชามาใช้วงการแพทย์ได้แล้วแต่ถ้าจะนำกัญชามาเป็นส่วนประกอบของ ของกินชนิดอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นขนมหรืออาหาร ยังไม่มีการรับรอง ยังถือว่ากัญชายังเป็นสิ่งผิดกฎหมายอยู่นะคะ 

          ในปัจจุบันมีการสกัดสารแล้วนำมาใช้งานได้ 2 ตัวคือ

  1. THC  สำหรับสารตัวนี้มีฤทธิ์กดประสาท ทำให้มีอาการเคลิบเคล้มและทำให้เกิดอาการประสาทหลอนด้วย ส่วนใหญ่จะนิยมมาใช้งานแบบผิดกฎหมาย 
  2. CBD สำหรับสารตัวนี้ จะถูกนำมาใช้ประโยชน์ด้านการแพทย์ เพื่อนำมาสกัดเป็นยารักษาโรค 

          สำหรับเยลลี่กัญชา ตอนนี้มีการตรวจสอบพบว่ามีสาร THC ปนอยู่ในเยลลี่ค่อนข้างสูง ซึ่งเป็นสิ่งผิดกฎหมายและยังเป็นอันตรายถึงชีวิตได้หากมีการกินเข้าไปในปริมาณที่มากพอ 

สำหรับเยลลี่กัญชานั้นจะมีจำหน่ายในประเทศที่รองรับการเปิดให้ผลิตและซื้อขายกัญชาได้อย่างถูกกฎหมาย และสามารถซื้อนำกลับมาไทยได้ เพราะลักษณะของซองจะเป็นเหมือนซองขนมธรรมดา หากไม่ได้มีการตรวจสอบอย่างละเอียดก็สามารถเล็ดลอดเข้ามาในไทยได้ ซึ่งตอนนี้ประเทศ ที่สามารถซื้อได้แบบถูกกฎหมายเลยจะมีอยู่ 4 ประเทศคือ อุรุกวัย จอร์เจีย เซาท์แอฟริกา และแคนาดา ส่วนประเทศอื่นๆส่วนใหญ่จะอนุญาตให้ใช้กัญชาในทางการแพทย์เท่านั้น

ถ้านำมาใช้เป็นส่วนผสมอันอื่น ยังถือว่าผิดกฎหมาย คำแนะนำสำหรับเยาวชนไทย ที่อยากรู้อยากลองว่า บางครั้งเราไม่จำเป็นต้องลองอะไรทุกอย่าง ถ้าเรารู้อยู่แล้วว่าของสิ่งนั้นมีโทษต่อร่างกาย ก็ไม่จำเป็นต้องนำชีวิตของตัวเองเข้าไปเสี่ยงเพียงแค่เหตุผลว่าอยากรู้ว่าเป็นอย่างไร 

Continue Reading

คลินิกพระพุทธรูป 

คลินิกพระพุทธรูป

       คลินิกพระพุทธรูป เป็นสถานที่ที่ได้ทำการเกี่ยวกับการบูรณะซ่อมแซมพระพุทธรูปที่ชำรุดเสียหายให้กลับมางดงามดังเดิมเป็นจำนวนนับหมื่นๆองค์

คลินิกพระพุทธรูปที่กล่าวถึงนี้ก็คือ สำนักสงฆ์ร่มโพธิ์ธรรม อำเภอลาดหญ้า จังหวัดกาญจนบุรี

โดยมีหลวงพ่อ วิชญ์ หรือ พระใบฏีกาวิชญ์จุฑา อินทวังโส เป็นผู้ริเริ่มกิจกรรมซ่อมพระพุทธรูปที่ชำรุด

เพื่อมอบถวายแด่วัดที่ขาดแคลนและสถานที่ที่ต้องการพระพุทธรูปเพื่อบูชาตามความประสงค์ ด้วยปณิธานอันมุ่งมั่นที่จะทะนุบำรุงพระพุทธศาสนาประกอบกับความรู้ความสนใจในเชิงช่างที่มีอยู่เป็นทุนเดิมจึงได้ริเริ่มโครงการ บูรณะพระพุทธรูปชำรุดทั่วประเทศขึ้นเมื่อหลายปีก่อน 

      ในทุกวันตั้งแต่ช่วงเช้าตู่หลวงพ่อจะเริ่มทำการบูรณะพระพุทธรูปด้วยความพิถีพิถันจนถึงดึกดื่นเที่ยงคืนหรือบางครั้งก็ทำงานจนถึงรุ่งสางการบรรจงปราดเกรียงลงบนพระพักตร์ของพระพุทธรูปถือเป็นการฝึกสมาธิอีกวิธีหนึ่งที่แตกต่างจากพระเถระทั่วไปที่ใช้วิธีฝึกเจริญสมาธิด้วยการภาวนาหรือเดินจงกรมแต่การซ่อมแซมบูรณะพระพุทธรูปถือเป็นการเจริญภาวนาที่ต้องใช้สมาธิไม่ต่างกัน โดยปัจจุบัน พระใบฏีกาวิชญ์จุฑา ได้ซ่อมพระพุทธรูปมาแล้วหลายองโดยไม่มีการเรียกร้องค่าใช้จ่ายจากทางวัดแต่อาศัยบอกบุญหาเจ้าภาพเพื่อเดินทางไปซ่อมพระรวมทั้งได้ตั้งปณิธานไว้ว่าจะขอซ่อมเพราะทุกที่ไม่ว่าจะใกล้หรือไกลแค่ไหนโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแต่หากพระพุทธรูปองค์นั้นขึ้นทะเบียนไว้ก็จะไม่ซ่อมถือว่ามีหน่วยงานราชการดูแลอยู่แล้วขนาดนี้ยังมีพระพุทธรูปที่หล่อซ่อมแซมอีกเป็นจำนวนมากแต่ไม่มีหน่วยงานใดให้การสนับสนุนจึงจำเป็นที่จะต้องตั้งกองทุน หลวงพ่อวิชญ์ พระซ่อมพระ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานได้อย่างต่อเนื่อง 

พระใบฏีกาวิชญ์จุฑา ได้กล่าวไว้ว่า

      “ ตราบใดที่ยังมีพระพุทธรูปชำรุดให้ซ่อมก็ขอซ่อมพระพุทธรูปที่ชำรุดไปจนกว่าพระพุทธรูปองค์สุดท้ายในโลกได้รับการซ่อมบำรุงแล้วก็ถือว่าภารกิจได้เสร็จสิ้นสมบูรณ์ “ 

     นอกจากนี้ทางสำนักสงฆ์ร่มโพธิ์ธรรม ยังยินดีต้อนรับทุกท่านที่สนใจจะเดินทางไปทำกิจกรรมดีดีในการบูรณะซ่อมแซมพระพุทธรูปได้ทุกโอกาสเพียงแค่ติดต่อแจ้งความประสงค์ต้องการเดินทางไปทำบุญโดยทางสถานที่มีอุปกรณ์ทุกอย่างเตรียมไว้ให้เรียบร้อยไม่มีค่าใช้จ่ายใดใดทั้งสิ้นยกเว้นท่านใดที่จะประสงค์จะร่วมทำบุญตามความศรัทธากับทางหลวงพ่อเพื่อสนับสนุนเข้าปกรณ์และเครื่องมือต่างๆ

Continue Reading

ประวัติและความเป็นมาของประเพณีลอยกระทง 

ประเพณีลอยกระทง 

 

       ประเพณีลอยกระทง เป็นขนบธรรมเนียมประเพณีที่คนไทยสืบต่อกันมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย โดยอ้างอิงมาจากหนังสือ นางนพมาศ หรือท้าวศรีจุฬาลักษณ์ ซึ่งจะตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ  เดือน 12 ของทุกปี

ประเพณีลอยกระทง  และเป็นวันที่พระจันทร์เต็มดวง แต่ถึงอย่างไรประเพณีลอยกระทงก็ยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่ามีมาตั้วแต่สมัยไหน แต่ความเชื่อและวัตถุประสงค์ของประเพณีลอยกระทงนั้นจะแตกต่างกันออกไป เช่น ศาสนาพุทธ จะบูชาพระเกศแก้วจุฬามณี , บูชารอยพระพุทธบาทที่หาดทรายริมฝั่งแม่น้ำนัมมทา ซึ่งปัจจุบันก็คือแม่น้ำเนรพุททาในประเทศอินเดีย หรือถือว่าเป็นการต้อนรับพระพุทธเจ้าในวันที่เสด็จกลับจากเทวโลก เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าได้ไปโปรดพระพุทธมารดา ประเพณีลอยกระทงนั้นไม่ได้มีแคืประเทศไทยของเราเพียงประเทศเดียว

แต่ยังมี ประเทศพม่า ประเทศลาว ประเทศเขมร ประเทศอินเดีย ประเทศจีน การลอยกระทงนั้นก็จะมีลักษณะที่คล้ายคลึงกับประเทศไทยของเราแต่จะต่างกันออกไปคือเรื่องของ ความเชื่อในแต่ละท้องถิ่น พิธีกรรมการไหว้บูชา แต่คนไทยส่วนใหญ่จะมีความเชื่อว่าการลอยกระทงโดยการนำดอกไม้ ธูป เทียนหรือสิ่งของต่างๆใส่ลงไปในกระทงแล้วนำไปลอย

ถือว่าเป็นการขอขมาพระแม่คงคา ที่ให้เราได้มีน้ำไว้กินไว้ใช้ในชีวิตประจำวัน สะเดาะเคราะห์โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ รวมถึงการอธิษฐานในสิ่งที่เราปรารถนาลงไปในกระทงอีกด้วย ซึ่งประเพณีลอยกระทงปีนี้ก็ตรงกับวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ.2562 

 

       สาเหตุที่ทำไมส่วนใหญ่กระทงถึงต้องเป็นรูปทรงดอกบัว ตามตำนานในหนังสือ นางนพมาศ หรือ ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ ที่เป็นสนมเอกของพระร่วง ในสมัยกรุงสุโขทัยได้พูดถึงวันเพ็ญเดือนสิบสองว่า เมื่อเวลาที่พระร่วงเสด็จประพาสทางน้ำ ในเวลาพระราชพิธีตอนกลางคืน ได้รับสั่งบรรดาพระสนมนางใน ตกแต่งกระทงประดับด้วยเครื่องดอกไม้ธูปเทียน นำไปลอยน้ำของด้านหน้าพระที่นั่งในขบวนเสด็จ ในครั้งนั้น ท้าวศรีจุฬาลักษณ์หรือนางนพมาศที่เป็นพระสนมเอก ได้คิดประดิษฐ์กระทงเป็นรูปดอกบัวกมุทขึ้น เพราะเห็นว่าเป็ดอกบัวเป็นดอกบัวที่มีลักษณะที่พิเศษ

Continue Reading